ป้ายกำกับ: บล็อกเกอร์, บล็อกสป็อต
เขียนโดย Phra Niphatharo @ 18:28 2 ความคิดเห็น
“วันนี้ตัดออกเสียทีเดียว ดูไปตามที่จะฮึดกำลังตั้งใจ อีกครั้ง ควรเป็นอันว่า โลกเสมือนนี้ ในอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี ที่คนดีมีแต่ความเป็นบัณฑิต ทั้งหลาย ท่านลงเกี่ยวแก่การศึกษามาทั้งหมด เราก็พึงจะนำมา น้อมนำเอามาไว้ ตั้งใจเอาเป็นที่สมัครสมานสามัคคี ยึดหน่วงเป็นการกระทำความดี ใฝ่ใจศึกษา ตอบต่อความดีในการพิเคราะห์ดี พิจารณาดี ให้ศึกษากันแต่สิ่งที่ ถ้วนทั่ว ลงในความประพฤติและความเป็นสุขได้ ซึ่งเป็นที่ลงอย่างชัดแจ้ง แล้วฉะนั้น ก็ขอให้การณ์จงประทับแก่ดวงจิตติดนาน ไปตราบจนกว่าจะจางคลาย หายจาก แล้ว มีการประพฤติตน ประพฤติใจประเสริฐ มีใจความที่น้อยลงจากความเป็นพาล จากต่อไปนี้ ถึงตลอดวันข้างหน้า ไปให้จนหมด จนสิ้น ให้จงได้”
ทางหนึ่งเชิงชั้น ของชื่อแลศักดิ์ ในทางความเป็นบุคคล ท่านสูงระดับชั้นเหนือหัวเหนือเกล้า , อีกทางหนึ่ง ชื่อชั้น สูง! ในทางชำระกระทำความบริสุทธิ์พระคัมภีร์ ยกกองขันธ์ มาเกี่ยวโยงกัน ย่อมควรด้วยเหตุ ซึ่งของ ฉบับภาษาไทย ตามบทข้อที่ ๑๓๒ นั้น แลไปถึง ปัจจุบัน ตามชั้นโดเมน ของนามนับที่ตั้งวิเศษที่จะกระทำความชำระ ฉะนั้น ด้วยบท หรือปริยุฏฐาน ตามห้วงบทของ ข้อที่ ๑๔๒ -๑๔๓ ข้าพเจ้า (นาย.......) ขอเชิญนักปราชญ์บัณฑิตผู้ดีทุกท่าน ทั้งหลายทั้งปวง ขอท่านจง เทียบดูดีชั่วความเหล่านี้ แล้วส่องความ จนกระทั่งให้ได้มีทางศึกษาไปด้วยกัน ซึ่ง ปัจจุบันก็รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า แต่ชั้นภาษาของเรา คือภาษาไทย ได้บทที่เป็นไป คือ ได้เป็นภาษาของปฐวีพิภพ แห่งโลก ณ หมู่นี้ คือโลกมนุษย์เราทั้งปวงนี้ ได้ที่ตั้ง ได้ที่สถิต ไปแต่กับภาษานี้ เท่านั้น แต่เป็นการเด็ดขาด! โดยตลอดไปแล้ว-ท่านที่แสดงคำตอบได้ดี ก็น่าชื่นชมยินดี , เพราะให้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต , แต่การกิน การเสพ ก็คือ มนุษย์ที่ให้ชีวิต กินแล้ว ก็ย่อมจะต้องคาย! ออกมา แล้ว อธิบายว่า กินแล้วก็คายออกมา ก็คือ , ด้วยเพราะมนุษย์ อย่างนี้ เป็นสัตวลักษณะในพิภพมนุษย์ เหล่านี้ ย่อมจะเป็นแต่สิ่งมีชีวิต ที่ระบาย สิ่งที่มีชีวิต ออกมาได้ด้วย , คือ ในชาย ก็ย่อม คาย! คือสัตวลักษณะเพศชาย ฉะนั้น ก็ย่อมที่จะสามารถคาย หรือก็คือ การได้ปล่อยน้ำสุกกะบริสุทธิ์ออกมา ในหญิง ผู้สถิตในมนุษย์พิภพ เช่นกัน ย่อม มีสัตวลักษณะ เป็นหญิง เธอผู้ที่งดงามอยู่ เช่นนั้น ก็ย่อม สามารถที่จะคายทารกออกมา เมื่ออายุครรภ์ครบกำหนดในเรื่องเนื้อ ก็พึงควรเช่นกัน ย่อมเรียกว่า โลก ย่อมระบือ การสำแดงแห่งสกลของขันธโลก ที่ได้ให้สมมุติแล้ว ให้เกิดอาการ ที่ให้เห็นว่า ธรรมชาติ ทุกส่วน มีปรกติ ได้กลืน คืนกลับ หรือว่ามันมักได้ระบาย คายออก มาดั่งนั้น จวบจนทั่งหมดแล้ว ล้วนแต่ก็เป็นสิ่งเสพ อยู่โดยจิต โดยหลักการ , ด้วยต่อเรื่องอย่างไร? ถ้าเราพึงเสพโดยกาย ก็จงอย่าได้ให้กำเริบโดยจิต เช่นกันแม้นเรื่องเช่นใดนั้นเสพโดยจิต ท่านก็จงอย่าให้ชิดเชย มีกิจกำเริบขึ้นโดยกาย อันที่จะถึงเครื่องต่อ คือทางเป็นที่อุบัติ แด่วิบัติ , จงพอแต่ความสรุป! ที่ทุกข์ยาก นั้น ก็คือ หาเจ็บแปลบ แต่ต้องแสบใจ ต้องเสียใจ จิตตก จิตไม่ดี เมื่อได้คาย!หรือนั้น ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็ได้สุขใจ อาจดีใจ ได้ปลื้มเปรมเอมโอช ปรีดี เพราะว่าได้ใคร่มาแต่รสอารมณ์ แห่งสัตวลักษณะ ที่ว่า เมื่อใด คายแล้ว เมื่อนั้น ก็ได้แต่มีความสุขหนหา ว่าหลวิชัยอ่าจะคล้องบ่วงให้โหเลฮีโฮ เลฮีโฮ คาโวบ่วงบาศโอ้โฮ้ หนทางว่าวัว ว่าวี คาวีผลมันเดินถนนแต่ใดปางฮีโฮเล ฮีโฮเล แต่บางปาโล ปาโล ปราบโค-เรื่องกามคุณอารมณ์ ย่อมแต่จะเป็นอัศจรรย์ มิไปไหน เหมือนหนึ่งดั่งเรื่อง วิราคะ เป็นความของภาคราคะ นั่นเอง ก็เรื่องเนื้อเมื่อวาน ก็แต่เมื่อว่า สรุป!ก็คือ ‘สาวิกาเมื่อไม่เปิดเนื้อริมอ่อนขาขาวให้ฉันดูแล้วล่ะก็ ฉันพ่อค้าเนื้อก็เป็นอันว่าจะไม่ขายให้’ เพราะสิ่งที่จะขายให้มันทุกข์ มันเสียบแทง ที่จะให้เอร็ดอร่อย ดียิ่งนัก , จนมาข้อ๒ นี้เอง ก็คงจะเกี่ยวแต่วิเศษทางกามคุณอารมณ์ ดั่งเช่นเดิม เพราะแต่บาลีฉะนั้น ย่อมแต่การจะยก แลเสริญกันอยู่แล้วว่า ลึกล้ำ ไปถึงบทวิเศษ ทางวิตถารนัย อยู่โดยทุกข้อ ซึ่งข้อนี้ คงเป็นเรื่องประวัติแต่ความช้าง ซึ่งแต่ก่อนก็ย่อมเห็นว่า อันวิชาขี่ช้าง บังคับช้าง ย่อมจะต้องวิเศษเหลือล้น เพราะช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่ พอแต่ธรรมดา เพียงเห็นก็ขวัญฝ่อแล้ว ย่อมมิเหลือใจจะสู้ อะไรอยู่แล้ว ถึงกับไม่คิดเลยว่า ใครจะไปสามารถเลี้ยง จะไปบังคับอย่างไร? แต่!เมื่อมาเรื่องกิน ความแห่งเรื่องการกินการดื่ม เป็นมายาตามจำเป็นอย่างวิเศษ มิขาดอยู่ และด้วย ทั้งการกิน มันก็เอมโอช หรือให้เต็มปรี่อารมณ์ คือดื่มด่ำกัน ด้วยรส อยู่โดยเรื่องเนื้อหนังมังสา นั่นเอง จึงต้องเห็นว่า เรื่องกามเช่นนี้ จะประมาท หรือให้เหยียดหยาม มิได้เลย , จรด! มาถึง ความที่มิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับช้าง แต่สมัยนี้จะคืออะไร ซึ่งก็คือ การที่จะไม่ให้ภิกษุไปนับถือเทพคือพระพิฆเนศวเนศวร ฉะนั้นเอง ซึ่งเรื่องห้ามกิน ห้ามถวิลหา ปรารมภ์ คงจะปะเหมาะเพราะเหตุเดียว เท่านั้น จะไม่ใช่ เพราะแต่ความต่างแห่งลัทธิดีชั่ว เมื่อโน้น หรือเมื่ออื่น ก็ย่อมจะมาปนเปเสโส ปนมาอยู่ในเรื่องที่ประณาม หรือโจทน์ กันขึ้น อยู่นั้นเสมอ ๆ คือย่อมที่จะกล่าวว่า ทุก ๆ เรื่อง ย่อมจะมิให้ท่านผู้วิเศษ มาวิเศษด้วยเรื่องกินเรื่องดื่ม ได้เลย
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก
2 ความคิดเห็น:
“วันนี้ตัดออกเสียทีเดียว ดูไปตามที่จะฮึดกำลังตั้งใจ อีกครั้ง ควรเป็นอันว่า โลกเสมือนนี้ ในอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี ที่คนดีมีแต่ความเป็นบัณฑิต ทั้งหลาย ท่านลงเกี่ยวแก่การศึกษามาทั้งหมด เราก็พึงจะนำมา น้อมนำเอามาไว้ ตั้งใจเอาเป็นที่สมัครสมานสามัคคี ยึดหน่วงเป็นการกระทำความดี ใฝ่ใจศึกษา ตอบต่อความดีในการพิเคราะห์ดี พิจารณาดี ให้ศึกษากันแต่สิ่งที่ ถ้วนทั่ว ลงในความประพฤติและความเป็นสุขได้ ซึ่งเป็นที่ลงอย่างชัดแจ้ง แล้วฉะนั้น ก็ขอให้การณ์จงประทับแก่ดวงจิตติดนาน ไปตราบจนกว่าจะจางคลาย หายจาก แล้ว มีการประพฤติตน ประพฤติใจประเสริฐ มีใจความที่น้อยลงจากความเป็นพาล จากต่อไปนี้ ถึงตลอดวันข้างหน้า ไปให้จนหมด จนสิ้น ให้จงได้”
ทางหนึ่งเชิงชั้น ของชื่อแลศักดิ์ ในทางความเป็นบุคคล ท่านสูงระดับชั้นเหนือหัวเหนือเกล้า , อีกทางหนึ่ง ชื่อชั้น สูง! ในทางชำระกระทำความบริสุทธิ์พระคัมภีร์ ยกกองขันธ์ มาเกี่ยวโยงกัน ย่อมควรด้วยเหตุ ซึ่งของ ฉบับภาษาไทย ตามบทข้อที่ ๑๓๒ นั้น แลไปถึง ปัจจุบัน ตามชั้นโดเมน ของนามนับที่ตั้งวิเศษที่จะกระทำความชำระ ฉะนั้น ด้วยบท หรือปริยุฏฐาน ตามห้วงบทของ ข้อที่ ๑๔๒ -๑๔๓ ข้าพเจ้า (นาย.......) ขอเชิญนักปราชญ์บัณฑิตผู้ดีทุกท่าน ทั้งหลายทั้งปวง ขอท่านจง เทียบดูดีชั่วความเหล่านี้ แล้วส่องความ จนกระทั่งให้ได้มีทางศึกษาไปด้วยกัน ซึ่ง ปัจจุบันก็รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า แต่ชั้นภาษาของเรา คือภาษาไทย ได้บทที่เป็นไป คือ ได้เป็นภาษาของปฐวีพิภพ แห่งโลก ณ หมู่นี้ คือโลกมนุษย์เราทั้งปวงนี้ ได้ที่ตั้ง ได้ที่สถิต ไปแต่กับภาษานี้ เท่านั้น แต่เป็นการเด็ดขาด! โดยตลอดไปแล้ว
-
ท่านที่แสดงคำตอบได้ดี ก็น่าชื่นชมยินดี , เพราะให้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต , แต่การกิน การเสพ ก็คือ มนุษย์ที่ให้ชีวิต กินแล้ว ก็ย่อมจะต้องคาย! ออกมา แล้ว อธิบายว่า กินแล้วก็คายออกมา ก็คือ , ด้วยเพราะมนุษย์ อย่างนี้ เป็นสัตวลักษณะในพิภพมนุษย์ เหล่านี้ ย่อมจะเป็นแต่สิ่งมีชีวิต ที่ระบาย สิ่งที่มีชีวิต ออกมาได้ด้วย , คือ ในชาย ก็ย่อม คาย! คือสัตวลักษณะเพศชาย ฉะนั้น ก็ย่อมที่จะสามารถคาย หรือก็คือ การได้ปล่อยน้ำสุกกะบริสุทธิ์ออกมา ในหญิง ผู้สถิตในมนุษย์พิภพ เช่นกัน ย่อม มีสัตวลักษณะ เป็นหญิง เธอผู้ที่งดงามอยู่ เช่นนั้น ก็ย่อม สามารถที่จะคายทารกออกมา เมื่ออายุครรภ์ครบกำหนด
ในเรื่องเนื้อ ก็พึงควรเช่นกัน ย่อมเรียกว่า โลก ย่อมระบือ การสำแดงแห่งสกลของขันธโลก ที่ได้ให้สมมุติแล้ว ให้เกิดอาการ ที่ให้เห็นว่า ธรรมชาติ ทุกส่วน มีปรกติ ได้กลืน คืนกลับ หรือว่ามันมักได้ระบาย คายออก มาดั่งนั้น จวบจนทั่งหมดแล้ว ล้วนแต่ก็เป็นสิ่งเสพ อยู่โดยจิต โดยหลักการ , ด้วยต่อเรื่องอย่างไร? ถ้าเราพึงเสพโดยกาย ก็จงอย่าได้ให้กำเริบโดยจิต เช่นกันแม้นเรื่องเช่นใดนั้นเสพโดยจิต ท่านก็จงอย่าให้ชิดเชย มีกิจกำเริบขึ้นโดยกาย อันที่จะถึงเครื่องต่อ คือทางเป็นที่อุบัติ แด่วิบัติ , จงพอแต่ความสรุป! ที่ทุกข์ยาก นั้น ก็คือ หาเจ็บแปลบ แต่ต้องแสบใจ ต้องเสียใจ จิตตก จิตไม่ดี เมื่อได้คาย!
หรือนั้น ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็ได้สุขใจ อาจดีใจ ได้ปลื้มเปรมเอมโอช ปรีดี เพราะว่าได้ใคร่มาแต่รสอารมณ์ แห่งสัตวลักษณะ ที่ว่า เมื่อใด คายแล้ว เมื่อนั้น ก็ได้แต่มีความสุข
หนหา ว่าหลวิชัย
อ่าจะคล้องบ่วงให้โห
เลฮีโฮ เลฮีโฮ คาโว
บ่วงบาศโอ้โฮ้ หนทาง
ว่าวัว ว่าวี คาวีผล
มันเดินถนนแต่ใดปาง
ฮีโฮเล ฮีโฮเล แต่บาง
ปาโล ปาโล ปราบโค
-
เรื่องกามคุณอารมณ์ ย่อมแต่จะเป็นอัศจรรย์ มิไปไหน เหมือนหนึ่งดั่งเรื่อง วิราคะ เป็นความของภาคราคะ นั่นเอง ก็เรื่องเนื้อเมื่อวาน ก็แต่เมื่อว่า สรุป!ก็คือ ‘สาวิกาเมื่อไม่เปิดเนื้อริมอ่อนขาขาวให้ฉันดูแล้วล่ะก็ ฉันพ่อค้าเนื้อก็เป็นอันว่าจะไม่ขายให้’ เพราะสิ่งที่จะขายให้มันทุกข์ มันเสียบแทง ที่จะให้เอร็ดอร่อย ดียิ่งนัก , จนมาข้อ๒ นี้เอง ก็คงจะเกี่ยวแต่วิเศษทางกามคุณอารมณ์ ดั่งเช่นเดิม เพราะแต่บาลีฉะนั้น ย่อมแต่การจะยก แลเสริญกันอยู่แล้วว่า ลึกล้ำ ไปถึงบทวิเศษ ทางวิตถารนัย อยู่โดยทุกข้อ ซึ่งข้อนี้ คงเป็นเรื่องประวัติแต่ความช้าง ซึ่งแต่ก่อนก็ย่อมเห็นว่า อันวิชาขี่ช้าง บังคับช้าง ย่อมจะต้องวิเศษเหลือล้น เพราะช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่ พอแต่ธรรมดา เพียงเห็นก็ขวัญฝ่อแล้ว ย่อมมิเหลือใจจะสู้ อะไรอยู่แล้ว ถึงกับไม่คิดเลยว่า ใครจะไปสามารถเลี้ยง จะไปบังคับอย่างไร?
แต่!เมื่อมาเรื่องกิน ความแห่งเรื่องการกินการดื่ม เป็นมายาตามจำเป็นอย่างวิเศษ มิขาดอยู่ และด้วย ทั้งการกิน มันก็เอมโอช หรือให้เต็มปรี่อารมณ์ คือดื่มด่ำกัน ด้วยรส อยู่โดยเรื่องเนื้อหนังมังสา นั่นเอง จึงต้องเห็นว่า เรื่องกามเช่นนี้ จะประมาท หรือให้เหยียดหยาม มิได้เลย , จรด! มาถึง ความที่มิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับช้าง แต่สมัยนี้จะคืออะไร ซึ่งก็คือ การที่จะไม่ให้ภิกษุไปนับถือเทพคือพระพิฆเนศวเนศวร ฉะนั้นเอง ซึ่งเรื่องห้ามกิน ห้ามถวิลหา ปรารมภ์ คงจะปะเหมาะเพราะเหตุเดียว เท่านั้น จะไม่ใช่ เพราะแต่ความต่างแห่งลัทธิดีชั่ว เมื่อโน้น หรือเมื่ออื่น ก็ย่อมจะมาปนเปเสโส ปนมาอยู่ในเรื่องที่ประณาม หรือโจทน์ กันขึ้น อยู่นั้นเสมอ ๆ คือย่อมที่จะกล่าวว่า ทุก ๆ เรื่อง ย่อมจะมิให้ท่านผู้วิเศษ มาวิเศษด้วยเรื่องกินเรื่องดื่ม ได้เลย
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก